หลายคนเคยได้ลิ้มรสชาติของความกดดันเมื่อมีใครมาฝากความหวังไว้ เช่นเดียวกับนักเตะคนนี้ ที่ชะตาของทีมที่ฝ่าฟันมาทั้งฤดูกาลตกอยู่ในมือเขา ณ ห้วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีแต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย เมื่อตอนที่ “อันแดร์สัน” คือคนที่ทั้งทีมไว้ใจให้ลงมาสังหารจุดโทษตัดสินเกม ทั้งที่ตลอดทั้งฤดูกาลนั้นได้ลงสนามเพียงไม่กี่นาที

ย้อนกลับไปที่นัดชิงชนะเลิศศึกยูฟ่า แชมป์เปี้ยนส์ลีก ในปี 2008 ซึ่งเป็นเกมนัดชิงของทั้งสองทีมจากเกาะอังกฤษอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กับ เชลซี เกมเริ่มต้นด้วยความดุเดือดไม่กี่นาทีหลังเขี่ยบอลก็ได้เห็นเลือดตกยางออกจากยอดมิดฟิลด์หัวเพลิงอย่าง พอล สโคลส์ เสียแล้ว

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ช่วยโหม่งประตูออกนำให้ฝั่งสีแดงไปก่อนในนาทีที่ 26 ก่อนที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด จะพาทีมกลับมาสู่เกมด้วยการวิ่งเข้าไปเก็บตกบอลที่มันกระดอนมาเข้าทางอย่างเป็นใจในนาทีที่ 45 ซึ่งต่อมาในเกมครึ่งหลังนั้นทั้งสองมีโอกาสมากมาย แต่ทำได้เพียงแค่ใกล้เคียงกับการเป็นประตูจนจบ 90 นาที

ถึงแม้ร่างกายจะถูกใช้มาอย่างเต็มเม็ดในช่วง 90 นาทีแรก แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยลดอุณภูมิความเดือดในสนามลงแม้แต่น้อย เมื่อมีจะหวะปะทะคารามณ์กันของทั้งสองฝ่าย ก่อนที่จะเป็น ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จนพลั้งมือออกไปตบใส่ เนมันย่า วิดิช และโทษครั้งนั้นคือใบแดง และต้องเดินกลับห้องแต่งตัว ทั้งที่อีกเพียงไม่กี่นาทีนั้นเขาก็เป็นมือลำดับต้น ๆ ในการสังหารจุดโทษเพื่อตัดสินแชมป์ในเกมนั้น

เรื่องราวของเกมนั้นมีมากมายหลายอารมณ์ แต่อย่างคนที่ไม่ได้มีส่วนร่วมในเกมเลยตั้งแต่ต้นอย่าง อันแดร์สัน มิดฟิลด์ที่ปกติก็ได้รับโอกาสในการลงสนามอย่างน้อยนิดอยู่แล้ว ถูกเปลี่ยนตัวลงมาในนาทีที่ 120+5 ของเกม และแน่นอนว่าการเปลี่ยนตัวในเวลาแบบนั้นไม่ได้หมายถึงการเปลี่ยนตัวเพื่อฆ่าเวลาแบบเกมปกติทั่วไปแน่นอน…ใช่เลย!!! เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ส่งเขาลงมาเพื่อยิงจุดโทษ

อันแดร์สัน ได้เล่ายย้อนกลับไปถึงความรู้สึก ณ ช่วงเวลานั้นว่า “ผมถูกส่งลงสนามมาเพื่อมายิงจุดโทษโดยเฉพาะ โดยที่เท้าของผมยังไม่ได้สัมผัสบอลเลยด้วยซ้ำ”

               “ตอนที่นั่งอยู่ในซุ้มม้านั่ง ไรอัน กิ๊กส์ มองมา และพูดกับผมว่า ‘นายต้องยิงนะ’ ผมพูดกลับไปทันที ‘พระเจ้าช่วย’ ผมหยิบลูกบอลขึ้นมาแล้วก็เดินไปยังประตู ผมจำได้ว่ามันเป็นการเดินที่โคตรจะยาวและนานมากที่สุดในชีวิตของผม”

               ในการยิงจุดโทษของผู้เล่นลำดับต้น ๆ ของทั้งสองทีมนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่บีบคั้นต่อแฟนทั้งสองทีมอย่างเหลือล้น มือสังหารของทีมอย่าง CR7 นั้นยังยิงติดเซฟ รวมไปถึงกัปตันจอมแกร่งอย่าง จอห์น เทอร์รี่ ถึงกับล้มพับลงไปเมื่อเขาดันพลาดการสังหารในครั้งนั้น จากการลื่นเสียหลักขณะที่ยิง…แล้วมนุษย์ผู้มีความรู้สึกอย่าง ‘อันแดร์สัน’ ล่ะ…

“ผมมาพร้อมกับลูกบอลด้วยร่างกายที่สั่นระรัวและโคตรจะกลัวเลย มันกำลังจะเป็นเรื่องราวที่จะถูกจารึกลงหน้าประวัติศาสตร์ของสโมสร พวกแฟนบอลของเขาก็อยู่กันเต็มไปหมดบนแสตนด์ฝั่งนั้น”

“ผมก้มวางบอลลงตรงจุดยิง สายตาก็มองไปยัง ปีเตอร์ เช็ก เห็นภาพร่างกายเขาใหญ่ราวกับยักษ์ แล้วเขาก็กางแขนขึ้นเพื่อจะเซฟลูกยิงของผม ผมเลยสบถกับตัวเองอีกครั้งว่า ‘แม่มเอ๊ยยยยย!’ ผมกะจะยิงแบบเต็มข้อ หลับตาปี๋ และภาวนาให้ลูกบอลเข้าไปนอนอยู่ก้นตาข่าย”

“จากนั้นผมเริ่มก้าว 3-4 ก้าวแล้วเข้ามาซัด ตาผมนี่หลับสนิทเลย…”

               ลูกยิงของ อันแดร์สัน ผ่านมือ ปีเตอร์ เช็ก ไปเพียงแค่คืบเดียว ความรู้สึกที่เหมือนโลกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทั้งใบได้ถูกยกออกไปแสดงออกมาผ่านการวิ่งไปหวดลูกบอลซ้ำเข้าไปที่ตาข่ายอีกที ก่อนที่จะเป็น ไรอัน กิ๊กส์ ตามมาซัดจุดโทษอย่างเฉียบคม แล้วก็เป็น เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ที่ยกวินาทีของความอัดอั้นออกจากโลกทั้งใบอย่างแท้จริง เมื่อเขาได้ปฏิเสธลูกยิงจาก นิโคล่า อเนลก้า

               ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นได้จารึกไว้ว่าเป็นแชมป์ที่สองของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ฤดูกาล 2007-08 แต่ตลอดทั้งฤดูกาลนั้นมีหลายต่อหลายวินาทีที่คน ๆ หนึ่งรู้สึกว่าเป็นความกดดันที่ยาวนานที่สุดในชีวิต และนี่คือเพียงมีกี่วินาทีเท่านั้นของ “อันแดร์สัน”

 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด