เวลานี้แฟนบอลของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงจะอยู่ในอารมณ์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เนื่องจากผลงานของทีมรักในช่วงออกสตาร์ตศึกพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2020-21 นั้นเทียบกันไม่ได้เลย

“หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ภายใต้การคุมทีมของ เยอร์เกน คลอปป์ ประเดิมนัดแรกแบบกระท่อนกระแท่น เปิดสนามแอนฟิลด์เอาชนะ “ยูงทอง” ลีดส์ ยูไนเต็ด ไป 4-3 ท่ามกลางกระแสความเป็นห่วงจากแฟนบอลว่าถ้าเล่นด้วยฟอร์มแบบนี้ไปตลอดฤดูกาล มีโอกาสสูงที่พวกเขาจะชวดป้องกันแชมป์

อย่างไรก็ตาม หงส์แดง ก็คือ หงส์แดง นัดที่ 2 พวกเขากลับมาคว้าชัยชนะได้อีกครั้ง หลังบุกไปเอาชนะ “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี ถึงสนามสแตมฟอร์ด บริดจ์ 2-0 แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือการเสริมทัพของ หงส์แดง ที่จัดการปิดดีลคว้าตัว ติอาโก อัลคันทารา กองกลางทีมชาติสเปน มาจาก “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิก เพียงไม่กี่วันก่อนที่จะลงสนามพบกับสิงห์บลู นั่นแสดงให้เห็นว่า คลอปป์ มองเห็นถึงปัญหาว่าทีมควรจะแก้ไขตรงจุดไหนถึงจะลงตัว หลังจากได้เห็นฟอร์มของทีมในเกมแรก และ คลอปป์ ก็มั่นใจฝีเท้าของแข้งมากประสบกาณร์รายนี้อย่างเต็มที่ ถึงขั้นใส่ชื่อไว้บนม้านั่งสำรองในเกมกับเชลซีทันที

และ ติอาโก วัย 29 ปี ก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นสุดยอดในตำแหน่งกองกลาง แม้จะถูกส่งลงสนามในครึ่งหลัง แต่เขาก็ผ่านบอลสำเร็จไปถึง 75 ครั้ง มากกว่านักเตะของทีมเชลซีทุกคนที่อยู่ในสนามตลอดทั้งเกมเสียอีก นอกจากนี้ เรายังได้เห็นคลาสในการคุมจังหวะเกม ทุกจังหวะการตัดสินใจในแต่ละสิ่งที่เขาจะทำในสนามนั้นผ่านกระบวนการคิดมาเป็นอย่างดี นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของ ติอาโก กับ ลิเวอร์พูล เท่านั้น เขายังมีเวลาให้ปล่อยทีเด็ดอีกมากมายตลอดการค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล นับจากนี้เป็นต้นไป

ต้องชื่นชมบอร์ดบริหารของ ลิเวอร์พูล ที่อนุมัติงบประมาณ 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 800 ล้านบาท) บวกกับโบนัสตามเงื่อนไขอีก 5 ล้านปอนด์ (ประมาณ 200 ล้านบาท) ในการนำตัว ติอาโก เข้ามาสู่ถิ่นแอนฟิลด์ ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงความทะเยอทะยานของสโมสรอย่างชัดเจน กับการคว้าตัวนักเตะฝีเท้าระดับโลกมาเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีม

แต่นี่ไม่ใช่นักเตะรายแรกที่ย้ายมาเข้าสู่ถิ่นแอนฟิลด์ในช่วงซัมเมอร์นี้ เพราะก่อนหน้านั้น ลิเวอร์พูล ได้เสริมนักเตะใหม่มาแล้ว 1 ราย นั่นก็คือ คอสตาส ซิมิกาส แบ็กซ้ายทีมชาติกรีซจากทีมโอลิมเปียกอส ด้วยค่าตัว 11.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 468 ล้านบาท) แม้จะไม่แพงมากนัก แต่มันก็ตรงกับความต้องการของ คลอปป์ ที่อยากได้แบ็กซ้ายอีกคนมาเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงกับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน

แค่นั้นยังไม่พอ ล่าสุด ลิเวอร์พูล ยังปิดดีลสายฟ้าแลบ ได้นักเตะใหม่รายที่ 3 หลังทุ่มงบประมาณอีก 41 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,681 ล้านบาท) และอาจจะเพิ่มขึ้นตามเงื่อนไขต่างๆ ไปจนถึง 45 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,845 ล้านบาท) คว้าตัว ดิโอโก โชตา แนวรุกทีมชาติโปรตุเกสของ “หมาป่า” วูล์ฟแฮมป์ตัน มาเสริมทัพเป็นรายที่ 3 อีกต่างหาก และทำให้ทีมตัวเลือกเพิ่มขึ้นในตำแหน่งแนวรุกอีกด้วย

มาที่ฝั่งของ “ปิศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ภายใต้การคุมทัพของ โอเล กุนนาร์ โซลชาร์ กันบ้าง ผลงานนัดแรกของซีซั่นนั้นได้บ่งบอกทุกความรู้สึกของกุนซือชาวนอร์เวย์เอาไว้หมดแล้ว หลังจากปิศาจแดงเล่นด้วยฟอร์มอันย่ำแย่ก่อนจะพ่ายแพ้ต่อ “อินทรีผงาด” คริสตัล พาเลซ คาถิ่นของตัวเอง ไปอย่างขาดลอย 1-3 โดยจนถึงตอนนี้ โซลชาร์ เพิ่งได้นักเตะใหม่มาเสริมทัพเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ ดอนนี ฟาน เดอ เบค กองกลางทีมชาติเนเธอร์แลนด์จาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,669 ล้านบาท) และประเดิมนัดแรกให้กับทีมด้วยการลงมาเป็นตัวสำรองทำประตูได้ในทันที

แต่ถ้าถามใจของ โซลชาร์ ว่าพอใจหรือไม่กับการเสริมทัพนักเตะเพียงแค่รายเดียว ก็น่าจะได้รับคำตอบชัดเจนว่า “ไม่พอ” อย่างแน่นอน ซึ่งเป้าหมายหลักของเขาในตำแหน่งปีกขวาอย่าง จาดอน ซานโช แข้งดีกรีทีมชาติอังกฤษ ของ “เสือเหลือง” โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก็ยังไม่สมหวัง ทั้งที่ทั้งสองสโมสรมีการเจรจากันมาอย่างยาวนาน แต่ก็ยังไม่ได้บทสรุปเสียที ปัญหาเดียวก็คือเรื่องค่าตัวที่ทาง ดอร์ทมุนด์ ตั้งเอาไว้สูงถึง 108 ล้านปอนด์ (ประมาณ 4,338 ล้านบาท) ซึ่งทางยูไนเต็ด มองว่ามันสูงเกินไปในช่วงที่หลายสโมสรต่างก็ได้รับผลกระทบทางการเงินจากปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และตลาดซื้อชายนักเตะก็จะปิดลงในวันที่ 5 ตุลาคมนี้แล้ว ถ้ายูไนเต็ดปิดดีลนี้ไม่ได้ ก็อาจจะต้องเจอกับฤดูกาลที่น่าผิดหวังอย่างแน่นอน

บางทีต่อให้สโมสรจะกัดฟันทุ่มเงินเพื่อซื้อ ซานโช มาร่วมทีม มันก็ไม่ได้แปลว่าพวกเขาจะฟอร์มเปรี้ยงปร้างขึ้นมาได้ในทันที เพราะอีกตำแหน่งที่เป็นปัญหาใหญ่จากการลงสนามในนัดแรกไปแล้วนั่นก็คือ กองหลัง แม้จะมี แฮร์รี แม็คไกวร์ เป็นกำลังสำคัญ แต่ยูไนเต็ดต้องการใครอีกสักคนที่ไว้ใจได้ ในการจะมายืนเซ็นเตอร์เคียงข้างกับเขา เพราะเวลานี้นักเตะอย่าง วิคตอร์ ลินเดเลิฟ แสดงให้เห็นแล้วว่าคุณภาพในฝีเท้าของเขายังไม่สามารถยึดตัวจริงในระยะยาวให้กับยูไนเต็ดได้ ความผิดพลาดที่ทำให้ทีมต้องเสียถึง 3 ประตูในเกมเดียวมันบ่งบอกทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว

ตอนนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับ เอ็ด วูดเวิร์ด รองประธานฝ่ายบริหารของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แล้วว่าจะยอมนิ่งเฉยเพื่อทนดูสโมสรอาการทรุดหนักลงไปอีก และเพื่อให้สโมสรอื่นๆ รู้ว่าพวกเขาไม่ใช่ทีมที่จะมาจ่ายค่าตัวนักเตะแพงๆ ได้เสมอไป หรือคิดที่จะเปลี่ยนมุมมองของตัวเอง และเดินหน้าทุ่มเงินเสริมทัพนักเตะใหม่เข้ามาตามที่ผู้จัดการทีมต้องการ เพราะถ้าเขาทำถึงขนาดนั้นแล้วผลงานของทีมยังออกมาไม่ดี ก็จะไม่มีใครโทษเขาได้เลย