โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เหลืออีกแค่ก้าวเดียวก็จะคว้าแชมป์ร่วมกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครั้งแรกในฐานะผู้จัดการทีม หลังนำ “ปีศาจแดง” ผ่าน “หมาป่าเหลืองแดง” โรม่า ในศึกยูฟ่า ยูโรปา ลีก รอบรองชนะเลิศ ได้สำเร็จ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคมที่ผ่านมา

“ปีศาจแดง” บุกมาเยือนกรุงโรมด้วยสถานการณ์ที่ได้เปรียบเป็นกระบุงโกยจากชัยชนะในเกมแรก 6-2 ทำให้แมตช์นี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องเน้นอะไรมากนัก แค่ประคองตัวไปเรื่อยๆ แม้ผลงานจะจบแบบไม่น่าอภิรมย์เมื่อออกไปแพ้ “หมาป่าเหลืองแดง” 2-3 ก็ตาม แต่พวกเขาได้กินบุญเก่า โดยสกอร์รวมสองนัดถล่มไป 8-5 ทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศได้อย่างงดงาม

ตอนนี้ โซลชา แอนด์โค. เหลือภารกิจสำคัญอีกแค่แมตช์เดียวเท่านั้น ก็จะทำให้พวกเขาสามารถสร้างความสุขให้กับสาวก “เร้ด อาร์มี่” ได้ แต่งานนี้คงต้องถาม บียาร์เรอัล คู่แข่งในนัดชิงชนะเลิศ ว่าจะยอมมอบโทรฟี่ถ้วยใบเล็กยุโรปให้ไปประดับที่ตู้โชว์ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด หรือเปล่า

1. เลือกชุดใหญ่ไฟกระพริบแม้สกอร์ขาดลอย
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มีโปรแกรมที่สุดหนักและแน่นเอี๊ยดรออยู่เมื่อพวกเขาต้องลงสนามเกมพรีเมียร์ลีก 3 แมตช์ในรอบ 5 วัน ฉะนั้นคงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เหล่าแฟนผีโปรเจกต์ถึงเบิกตาอ้างปากค้างเมื่อเห็น โซลชา เลือกผู้เล่นชุดใหญ่เกือบทั้งหมดลงสนาม

สำหรับตอนนี้โปรแกรมของ “ปีศาจแดง” ต้องบอกว่าคงทำให้พวกเขาเหนื่อยจนสายตัวแทบขาด เพราะทีมจะต้องลงดวล แอสตัน วิลล่า ในวันอาทิตย์นี้ ตามด้วย เลสเตอร์ ซิตี้ วันอังคารหน้า จากนั้นก็ได้พักแค่วันเดียว ก็ต้องเล่นโปรแกรมตกค้างที่เลื่อนมาจากสุดสัปดาห์ก่อน นั่นก็คือการทำศึก “แดงเดือด” รับมือ ลิเวอร์พูล วันพฤหัสบดี

ที่สำคัญเกมนี้ แมนฯ ยูฯ มีสกอร์ตุนเอาไว้ถึง 6-2 นั่นทำให้ โซลชา สามารถเลือกส่งทีมที่ไม่ต้องแกร่งลงสนามก็ได้ แต่กลับกลายเป็นว่าเขาเลือกส่งผู้เล่นแทบจะชุดใหญ่ลงสนามโดยขาดแค่ มาร์คัส แรชฟอร์ด (สำรอง น. 73), วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ และ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ เท่านั้น

บางทีอาจเป็นไปได้ว่า โซลชา หวั่นว่าอาถรรพ์รอบตัดเชือกจะกลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง ก็เลยต้องเน้นความชัวร์เอาไว้ก่อน เพราะหากขืนส่งผู้เล่นที่ไม่แกร่งลงสนาม อาจเกิดเหตุการณ์ช็อกโลกก็ได้

ฉะนั้นมันก็ไม่เสียหายอะไรที่จะใส่นักเตะตัวหลักเกือบยกทีมลงเล่น อย่างน้อยๆ ก็เป็นการไม่ประมาทคู่แข่ง แต่ข้อเสียก็คือสภาพร่างกายของนักเตะอาจจะกรอบ จนส่งผลเสียต่อผลงานในแมตช์ต่อๆ เป็นไปได้

2. ความเฉียบคมของ คาวานี่ สร้างความแตกต่าง
หากจะบอกว่าเกมนี้ โรม่า ไม่มีโอกาสที่จะสร้างปาฏิหาริย์ก็คงไม่ใช่ เพราะพวกเขาสามารถสร้างสรรค์เกมได้ดีเยี่ยม แต่น่าเสียดายที่ในจังหวะสุดท้าย “จัลโล่รอสซี่” ดันขาดความเฉียบคม สวนทางกับ แมนฯ ยูไนเต็ด ที่มี เอดินสัน คาวานี่ ซึ่งเด็ดขาดในการจบสกอร์อย่างมาก

กองหน้าชาวอุรุกวัย มีโอกาสงดหยดในช่วงต้นเกมเมื่อได้หลุดเข้าไปในเขตโทษ และกระดกบอลข้ามหัว อันโตนิโอ มิรานเต้ ไปแล้วแต่ดันแรงไปหน่อยบอลเช็ดคานออกไปอย่างน่าเสียดาย แต่ในจังหวะที่สอง “เอล มาทาดอร์” ไม่ผิดพลาดแบบเดิมๆ เมื่อจัดการกดเหนี่ยวบอลพุ่งไปซุกก้นตาข่ายแบบสบายอุรา

ในขณะที่ทางฝั่ง โรม่า ช่วง 45 นาทีแรกพวกเขาก็มีโอกาสเช่นกัน แต่แนวรุกของเจ้าบ้านยิงไม่คม กอปรกับ ดาบิด เด เคอา นายด่านชาวสแปนิช โชว์เซฟได้หลายครั้ง ทำให้สกอร์ต้องตกเป็นรอง ขณะที่ครึ่งหลัง “หมาป่าเหลืองแดง” สร้างโอกาสได้หลายครั้ง และน่าจะยิงประตูได้มากกว่านี้ แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่มีความเฉียบคม

สวนทางกับ คาวานี่ เมื่อได้โอกาสไม่ยอมปล่อยให้หลุดลอยไป โดยประตูที่สองของเจ้าตัวในเกมนี้เป็นการประสานงานอย่างยอดเยี่ยมของ เฟร็ด กับ เมสัน กรีนวู้ด ก่อนที่บอลจะเป็นถึ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ซึ่งจัดการเปิดบอลอย่างแม่นยำให้ ดาวเตะวัย 34 ปี วิ่งเข้ามาโหม่งแบบสบายๆ

นี่เป็นอีกหนึ่งผลงานของ คาวานี่ ที่แสดงให้เห็นว่าเขามีส่วนสำคัญกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากแค่ไหน และนั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไม โซลชา ถึงได้พยายามโน้มน้าว คาวานี่ ให้อยู่ช่วยไล่ล่าความสำเร็จกับ “ปีศาจแดง” ต่อไป

3. เด เคอา ยังเหนียวหนึบ
ไม่ว่า ดาบิด เด เคอา หรือ ดีน เฮนเดอร์สัน ใครจะได้เป็นมือ 1 ของแมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลหน้า แต่สำหรับ นายด่านชาวสแปนิช เขาแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพโดยไม่มีการบ่นอิดออดนับตั้งแต่ที่โดนดร็อปจากตำแหน่งตัวจริงในพรีเมียร์ลีก และต้องมาเฝ้าเสาในเกมยูโรปาลีก แทน

สำหรับแมตช์นี้ เด เคอา ทำผลงานได้โดดเด่นมากๆ เมื่อช่วยเซฟจังหวะสำคัญให้กับ “ผีแดง” หลายครั้งในช่วงครึ่งแรก ขณะเดียวกันในครึ่งหลัง นายด่านปราการสุดท้ายทีมชาติสเปน ก็ยังคงรักษาฟอร์มที่สุดยอดเอาไว้ โดยป้องกันลูกอันตรายของ โรม่า ได้อย่างต่อเนื่อง

แม้ว่าเกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะเสียสามประตูก็ตาม แต่ทั้ง 3 ลูกเป็นการยิงที่ เด เคอา สุดปัญญาจะป้องกันได้จริงๆ ที่สำคัญหากไม่ได้ความยอดเยี่ยมของโกลจากแดนกระทิงดุรายนี้ช่วยป้องกันเอาไว้ บอกเลยว่าสกอร์บอร์ดฝั่งแมนฯ ยูฯ ในแมตช์นี้อาจจะไม่ใช่อย่างที่ทุกคนเห็นก็ได้

จากสถิติของ “ปีศาจแดง” ในเกมยูโรปา ลีก พวกเขาเสียเพียง 6 ประตูเมื่อมี เด เคอา ยื่นเฝ้าเสา ฉะนั้นจากผลงานแบบนี้คงทำให้ โซลชา รู้ถึงแก่นแท้ว่า นายทวารชาวสแปนิช ยังคงเป็นหนึ่งในคีย์แมนสำคัญของทีม และจำเป็นต้องรั้งตัวเขาเอาไว้เพื่อสานฝันโครงการสร้าง “ผีแดง” คืนสู่บัลลังก์แชมป์พรีเมียร์ลีก

4. กำลังเสริมตำแหน่งฟูลแบ็กยังต้องพัฒนาอีกเยอะ
หนึ่งในความน่าผิดหวังของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แมตช์นี้ซึ่งเกือบทำให้พวกเขาต้องเสียหาย ก็คงหนีไม่พ้นตัวสำรองในตำแหน่งฟูลแบ็กทั้งสองฝั่ง เพราะเมื่อ โซลชา เปลี่ยนตัวหลักออก และส่งยางอะไหล่ลงสนาม กลายเป็นว่าทีมมีบ่อน้ำมันจนโดน โรม่า บุกโจมตีอย่างหนัก

ในช่วง 45 นาทีแรก แมนฯ ยูฯ ที่มี อารอน วาน-บิสซาก้า กับ ลุค ชอว์ ทำหน้าที่แบ็กขวา-ซ้าย ตามลำดับ โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม โดยโดดเด่นในการเล่นเกมรุก และเหนียวแน่นในการเล่นเกมรับ ซึ่งแน่นอนว่าผลงานของทั้งสองคนทำให้แนวรุกทางริมเส้นของเจ้าบ้านแทบทำอะไรไม่ได้เลย

ด้วยสกอร์ที่นำขาดทำให้ โซลชา เลือกที่จะพัก 2 ฟูลแบ็กตัวหลักและส่ง แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ กับ อเล็กซ์ เตลลิส ลงสนามในต้นครึ่งหลัง ฟอร์มบริเวณริมเส้นทั้งสองฝั่งของ “ปีศาจแดง” กลับตาลปัตรทันที เพราะกลายเป็นว่า “จัลโล่รอสซี่” สามารถโจมตีจากตำแหน่งนี้ได้อย่างสะดวกโยธิน

การโจมตีทางฝั่งแบ็กซ้ายและขวาของ แมนฯ ยูฯ ทำให้ โรม่า มีลุ้นได้ประตูหลายครั้ง แต่เดชะบุญที่ เด เคอา เหนียวหนึบกอปรกับคู่แข่งไม่เฉียบคมทำให้พลาดได้ประตูไปหลายครั้ง แต่สิ่งนี้คงทำให้ โซลชา ตาสว่างเพราะถ้าขืนยังใช้งานสองคนนี้เป็นยางอะไหล่อาจจะส่งผลเสียต่อแผนการสร้างทีมในอนาคต

ฉะนั้นในช่วงซัมเมอร์นี้แฟนบอลแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อาจจะได้เห็นนักเตะใหม่ในตำแหน่งฟูลแบ็กก็ได้

5. ค่อยๆ ทำค่อยๆ สร้างตามสไตล์โซลชา
นับตั้งแต่ปีแรกที่ โซลชา เข้ามากุมบังเหียนเขาได้รับทำคำสรรเสริญและเสียก่นด่ามาตลอด แม้แต่ในฤดูกาลนี้ ผลงานของเขาก็ยังไม่เข้าตาในช่วงต้นซีซั่น และมีเสียงเรียกร้องให้ปลด “น้าลูกอม” เพราะทนไม่ไหวกับการวางแท็กติกที่ดูขัดหูขัดตา

อย่างไรก็ตาม โซลชา แสดงให้เห็นแล้วว่าความอดทนต่อเสียงวิจารณ์ และยึดมั่นแนวทางการสร้างทีมของตัวเอง ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ค่อยๆ พัฒนาฟอร์มการเล่นอย่างต่อเนื่อง ถึงขนาดทำให้ช่วงหนึ่งพวกเขามีลุ้นที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว

สำหรับตอนนี้ นายใหญ่ชาวนอร์เวย์ มีโอกาสที่จะนำความสำเร็จมาสู่ “โรงละครแห่งความฝัน” อีกครั้ง เมื่อทะลุเข้ารอบชิงชนะเลิศ ยูโรปา ลีก และยังเป็นการนำทีมเข้าชิงสมัยแรกของเขา หลังต้องผิดหวังมาแล้ว 4 ครั้งก่อนหน้านี้

ตอนนี้ความฝันที่ โซลชา ปรารถนามาตลอดก็คือการนำ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ใกล้จะเป็นจริงแล้ว ลองนึกภาพวันที่ กุนซือเบบี้เฟซ นำลูกทีมชูโทรฟี่แชมป์ มันคงทำให้เหล่า “เด็กผี” คงน้ำตาซึมจนต้องหวนนึกถึงช่วงวันวานยังหวานอยู่ เพราะได้เห็นอดีตนักเตะขวัญใจของพวกเขาที่เคยนำทีมคว้าแชมป์มากมายสมัยเป็นพ่อค้าแข้ง กลับมานำความสำเร็จคืนสู่ “เร้ด เดวิลส์” ในฐานะผู้จัดการทีม

แต่อย่าลืมว่าคู่แข่งคือ บียาร์เรอัล ที่มี อูไน เอเมรี่ กุมบังเหียน เพราะกุนซือคนนี้คือเจ้าพ่อตัวจริงเสียงจริงในถ้วยยูโรปา ลีก