ศึกฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ คู่บิ๊กแมตช์เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล แชมป์เก่า เปิดรังแอนฟิลด์ รับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ซิตี ทีมจ่าฝูง โดยเกมนี้ในครึ่งแรกทั้งคู่สู้กันสนุก ถึงนาทีที่ 37 “เรือใบสีฟ้า” ได้จุดโทษจากจังหวะที่ ฟาบินโญ เกี่ยวขา ราฮีม สเตอร์ลิง ล้มในเขตโทษ แต่ อิลคาย กุนโดกัน ยิงข้ามคาน จบครึ่งแรกยังทำอะไรกันไม่ได้ เสมอกันอยู่ 0-0

เข้าสู่ครึ่งหลัง ทีมเยือนได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ในนาทีที่ 49 จากจังหวะที่ อลิสซอน เบคเกอร์ นายทวารเจ้าถิ่นปัดบอลมาเข้าทาง กุนโดกัน ซ้ำจ่อ ๆ ตุงตาข่าย ถึงนาทีที่ 63 หงส์แดง เจ้าถิ่น ได้จุดโทษบ้างเมื่อ รูเบน ดิอาส ดึงแขน โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ล้มในกรอบเขตโทษ ก่อนดาวเตะทีมชาติอียิปต์จะลุกขึ้นมาสังหารไม่พลาด ช่วยให้ทีมตีเสมอเป็น 1-1

เกมถึงนาทีที่ 73 เรือใบสีฟ้า ขยับนำอีกครั้ง หลัง อลิสซอน เปิดเกมไม่ดี โดน ฟิล โฟเดน ตัดบอลลากไปถึงสุดเส้นหลังก่อนเปิดเข้ากลางให้ กุนโดกัน จิ้มโล่ง ๆ เป็นประตูที่ 2 ของเจ้าตัวในเกมนี้ และอีกแค่ 3 นาทีต่อมา แมนฯ ซิตี หนีเป็น 3-1 จากจังหวะที่นายทวารเจ้าถิ่นเตะเปิดเกมไม่ดีอีกครั้ง ก่อนที่ แบร์นาโด ซิลวา จะชิพให้ ราฮีม สเตอร์ลิง โหม่งจ่อ ๆ เข้าไป

ถึงนาทีที่ 83 เรือใบสีฟ้า ฉีกหนีเป็น 4-1 จากฝีเท้าของ ฟิล โฟเดน ที่ล็อกยิงด้วยเท้าซ้ายในเขตโทษ บอลพุ่งแสกหน้า อลิสซอน เสยเพดานตาข่าย เวลาที่เหลือไม่มีประตูเพิ่ม จบเกม แมนฯ ซิตี บุกชนะ 4-1 ทำสถิติชนะในลีกเป็นเกมที่ 10 ติดต่อกัน และชนะรวดเป็นเกมที่ 14 ในทุกรายการ เก็บเพิ่มเป็น 50 แต้มจาก 22 นัด ยังรั้งจ่าฝูง โดยนำหน้า “ผีแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมอันดับ 2 อยู่ 5 คะแนน แถมแข่งน้อยกว่าอยู่ 1 นัด ส่วน ลิเวอร์พูล ซึ่งแพ้ในลีกคาบ้านเป็นเกมที่ 3 ติดต่อกันนั้น เตะ 23 นัด มี 40 คะแนน รั้งอันดับ 4 ตามหลังจ่าฝูงอย่าง “เรือใบสีฟ้า” ห่างเป็น 10 คะแนน และแข่งมากกว่าอยู่ 1 นัด