เมสันท์ เมาท์ แข้งวัย 22 ปี คือความภาคภูมิใจของอคาเดมี่ เชลซี ที่เจ้าตัวหวังผงาดขึ้นมาเทียบชั้นระดับตำนานกองกลางอย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ไอดอลของเขา จึงเป็นช่วงเวลาที่ถูกจับตามองว่า เมาท์ จะเป็นตำนานคนต่อไปในถิ่นสแตมฟอร์ดบริดจ์หรือไม่
สำหรับเส้นทางอาชีพของ เมสันท์ เมาท์ นั้นเขาเริ่มเล่นกีฬาฟุตบอล มาตั้งแต่วัยกระเตาะด้วยอายุได้เพียง 4 ขวบเท่านั้น ซึ่งเขาก็เริ่มฉายแววพรสวรรค์ ที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดในการเล่นฟุตบอล ก่อนจะถูกคุณพ่อผลักดันอย่างเต็มที่ด้วยการส่งไปเข้าศูนย์ฝึกของสโมสร พอร์ทสมัธ และ เซาแธมป์ตัน และจากนั้น 2 ปี จึงได้ย้ายไปอยู่ ในการดูแลในอคาเดมี่ของ เชลซี ขณะที่เจ้าตัวอายุได้เพียงแค่ 6 ขวบ
ด้วยฝีเท้าอันโดดเด่นเกินวัยทำให้เขากลายเป็นแข้งเนื้อหอมมีหลายสโมสรฟุตบอลบนเกาะอังกฤษต่างก็สนใจที่จะดึงตัว เมาท์ เข้าไปฝึกวิชาต่อ แต่เจ้าตัวก็อยู่กับทัพ “สิงห์บลูส์” น้อยต่อไปโดยใช้เวลาในทีมเยาวชนนานถึง 12 ปี ก่อนจะได้รับสัญญาอาชีพจาก เชลซี ในปี 2017 แต่ก็อย่างที่ทราบกันดีว่าเวลานั้น เชลซี เต็มไปด้วยแข้งระดับซูเปอร์สตาร์ในทีมชุดใหญ่ ซึ่งทำให้บรรดาแข้งดาวรุ่งไม่ค่อยมีโอกาสสอดแทรกขึ้นมามากนัก
ส่งผลให้ เมาท์ ถูกส่งไปให้ วิเทสส์ อาร์เน่ม ในลีก ฮอลแลนด์ยืมใช้งานเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ โดยมีผลงานยิง 9 ประตูจากการลงเล่น 29 เกม
ซึ่งเป็นผลงานที่ไม่เลวเลยทีเดียว
จนกระทั่งฤดูกาล 2018- 2019 เส้นทางอาชีพของเขาก็เกิดจุดเปลี่ยนสำคัญขึ้นเมื่อ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ได้มีโอกาส มารับหน้าที่ผู้จัดการทีม ดาร์บี้ เคาน์ตี้ จึงได้ดึงตัว เมาท์ มาเป็นขุนพลเอกในแดนกลาง ซึ่งเจ้าตัวก็สร้างชื่อให้แฟนบอลได้รู้จักมากขึ้นด้วยผลงานยิง 8 ประตูจาก 35 เกม
และเมื่อ เชลซี ประกาศแต่งตั้ง แลมพาร์ด เข้ามากุมบังเหียนนั้น เขาจัดการดึงลูกศิษย์รักรายนี้ตามมาด้วย หลังจากเวลานั้น “สิงห์บลูส์” โดนลงโทษห้ามเซ็นสัญญาแข้งใหม่เข้ามาร่วมทีม จึงทำให้ เมาท์ ได้ปล่อยของแบบเต็ม ๆ ในบ้านหลังนี้ จนถูกยกให้เป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามองมากที่สุด โดยในปีเดียวกัน เจ้าตัวยังถูกเรียกตัวเข้าสู่ทีมชาติ อังกฤษชุดใหญ่ถึง 6 ครั้ง
อย่างไรก็ตามแม้จะทำผลงานได้โดดเด่นเพียงใดเขาก็ยังไม่พ้นโดนข้อครหาจากบรรดาสื่อต่าง ๆ ว่าเป็นลูกรักหรือเด็กเส้นรึเปล่า แต่เขาก็ก้มหน้าก้มตาเล่นฟุตบอลต่อไป และจนถึงตอนนี้เขาก็ได้พิสูจน์ ให้เห็นแล้วว่าเขาคือหนึ่งในกองกลางระดับหัวแถวของพรีเมียร์ลีก หลังยังคงเป็นแกนหลักในให้กับ เชลซี ในยุคของ โธมัส ทูเคิ่ล มีส่วนสำคัญในการพาทีมทะลุเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไปเรียบร้อย
ด้วยเทคนิคการเล่นที่มักจะสร้างสรรค์เกมรุก ทำให้เหล่าสื่อและแฟนบอลต่างพากันเรียกเขาว่า “นิว แฟร้ค์ แลมพาร์ด” แต่ถึงแม้ว่าเขาจะยังไม่ได้พิสูจน์ผลงานที่เทียบเท่ากับตำนานรายนี้ แต่เราก็ได้เห็นความอันตรายและเลือดสิงห์อันเร้าร้อนของตัวเขามาแล้ว ซึ่งแน่นอนว่าเขาจะกลายมาเป็นนักเตะระดับตำนานของทีมได้อย่างแน่นอน
